ผลวิจัยพบว่าโควิดสายพันธุ์เดลต้าแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ปกติราว 1.78 เท่า
สถาบันสุขภาพและความปลอดภัยแห่งกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Institute of Public Health) ได้สุ่มวิเคราะห์ตัวอย่างที่ได้จากการทดสอบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด 38 ตัวอย่างในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันที่ 6 มิถุนายน และว่าพบเป็นเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์อินเดียทั้งหมด 12 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นอัตราส่วนอยู่ที่ราว 31.6%
ทีมวิจัยซึ่งนำโดยศาสตราจารย์อิโต้ คิมิโตะ จากมหาวิทยาลัยฮอกไกโดและศาสตราจารย์นิชิอุระ ฮิโรชิ จากมหาวิทยาลัยเกียวโตได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ในที่ประชุมผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการในวันที่ 9 มิถุนายน และพบว่าโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์อินเดียนั้นมีคุณสมบัติในการแพร่กระจายของเชื้อได้ดีกว่าสายพันธุ์ปกติอยู่ที่ราว 1.78 เท่า และกำลังเข้ามาแทนที่สายพันธุ์อัลฟ่าหรือสายพันธุ์อังกฤษที่เคยครองอัตราส่วนจากสายพันธุ์ปกติมาก่อน
นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขฯ ยังระบุว่ามีรายงานการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์อินเดียในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 7 มิถุนายนใน 8 จังหวัดของญี่ปุ่นกว่า 34 รายแล้ว ซึ่งมากกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ 10 คน
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศระบบเรียกชื่อใหม่ของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ ตามอักษรกรีก แทนการเรียกด้วยชื่อประเทศหรือสถานที่เพื่อให้ง่ายต่อการอ้างอิงถึง ตลอดจนลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อพลเมืองที่มาจากประเทศที่ตรวจพบเชื้อกลายพันธุ์เหล่านี้เป็นแห่งแรก ดังนี้
"อัลฟา (Alpha)" ใช้เรียกสายพันธุ์ B.1.1.7 ที่ตรวจพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร
"เบตา (Beta)" ใช้เรียกสายพันธุ์ B.1.351 ที่ตรวจพบครั้งแรกในแอฟริกาใต้
"แกมมา (Gamma)" ใช้เรียกสายพันธุ์ P.1 ที่ตรวจพบครั้งแรกในบราซิล
"เดลตา (Delta)" ใช้เรียกสายพันธุ์ B.1.617.2 ที่ตรวจพบครั้งแรกในอินเดีย
ที่มา : https://www3.nhk.or.jp/news/html/20210610/k10013077751000.html